วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีชื่อเต็มว่า วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 1930 (ค.ศ. 1930) ที่เมืองโอแมฮา ในรัฐเนแบรสกา พ่อของเขาชื่อโฮเวิร์ด บัฟเฟตต์ เป็นวุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน และยังเป็น Stock Broker อีกด้วย ส่วนมารดาของเขามีชื่อว่าไลล่า บัฟเฟตต์ เขามีพี่น้องอยู่ 2 คน คือดอริส และเบอร์ตี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหมกมุ่นกับตัวเลขตั้งแต่อายุยังน้อย และมีความจำอันดีเลิศ เขาสามารถจดจำจำนวนประชากรของเมืองใหญ่ในสหรัฐได้อย่างมากมาย
ไม่ เพียงเท่านั้น ในตอนที่เขาอายุ 6 ขวบ เขาได้จ่ายเงิน 25 เซนต์ซื้อโค๊กจำนวน 6 แพ็ค และนำมาขาย ในราคา กระป๋องละ หนึ่งเหรียญ และเมื่ออายุ 11 ขวบ เขาทำหน้าที่เป็นเด็กจดกระดานในบริษัทหุ้นของพ่อของเขา และในปีเดียวกันนั้น เขาเริ่มซื้อหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเงินอันน้อยนิด เขาสามารถซื้อได้แค่ 3 หุ้น หุ้น Cities Service Preferred ในราคาหุ้นละ 38 เหรียญ เมื่อซื้อแล้วราคาได้ตกมา 27 เหรียญ แต่เมื่อหุ้นกลับขึ้นมาอีกที เขาก็ขายไปที่ 40 เหรียญ นั่นเป็นการทำกำไรครั้งแรกในชีวิต ของเขา ได้มาเน็ต ๆ แค่ 5 เหรียญ หลังจากนั้นต่อมาไม่ทราบว่าใช้เวลานานนานเท่าไร หุ้นนั้นทะยานไปถึงหุ้นละ 200 เหรียญ
นอกจากการเล่นหุ้นแล้ว เขายังทำงานพิเศษอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเร่ขายของเคาะประตูตามบ้าน ส่งหนังสือพิมพ์ จนเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขาสามารถเก็บหอมรอมริบได้ เงินจำนวนถึง 1200 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากเลยทีเดียวในสมัยนั้น และเขาได้ทำเงินก้อนนี้ไปซื้อที่ดินราว ๆ 100 ไร่ เพื่อให้คนเช่าทำการเกษตร
ต่อมาเขาได้เข้าเรียนระดับมัธยมที่ Woodrow Wilson High School ในกรุงวอชิงตันดีซี และเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยการเงินวอร์ตัน ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ระหว่างปี 1947 – 1949 แต่จากนั้นก็ย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา ซึ่งที่นี่เองที่เขาได้มีความสนใจด้านการลงทุนเพราะได้แรงบันดาลใจจากการ อ่านหนังสือของ Benjamin Graham ที่มีชื่อว่า The Intelligent Investor หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนคัมภีร์ของ value investors และเขาก็ได้รับความรู้มากมายจากหนังสือเล่มนี้
เมื่อจบการศึกษาระดับ ปริญญาตรี เขาได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และได้เรียนหนังสือกับปรมาจารย์ในใจเขาคือ Benjamin Graham และเขาได้รับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1951
หลังจากเรียน จบ เขาก็กลับบ้านเกิดและเข้าทำงานเป็นเซลล์แมนในบริษัทของพ่อตัวเอง ระหว่างปี 1951 – 1954 พอมาปี 1954 – 1956 เขาก็ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัท Graham-Newman Corp. ที่กรุงนิวยอร์ก
ในปี 1957 เขากลับมาถิ่นเกิดอีกครั้ง และเริ่มก่อตั้งบริษัทลงทุนที่มีชื่อว่า Buffett Partnership, Ltd. มีนักธุรกิจมากมายใส่เงินร่วมทุน จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการเอาชนะดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งเขาก็ทำได้ผลในปี 1969 อัตรากำไรที่บริษัทเขาทำได้นั้นสูงถึง 29.5 % เปรียบเทียบกับดัชนีดาวโจนส์ แค่ 7.4 % เท่านั้น
ในปี1962เขาได้เข้าไปซื้อกิจการของบริษัทสิ่งทอBerkshireHathawayในราคาไม่ ถึง8เหรียญต่อหุ้นเขาได้ขายโรงทอผ้าทิ้งไปแปลงโฉมบริษัทเป็นHoldingCompany และนี่เองที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของบริษัทที่ต่อมายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและ ในขณะเดียวกันเขาก็ได้แต่งงานกับซูซานทอมป์สันในปีค.ศ.1952และมีลูก3คนคือซู ซี่โฮเวิร์ดและปีเตอร์แต่ชีวิตสมรสของทั้งคู่ก็ต้องแยกกันอยู่ตั้งแต่ ปี1977โดยที่ไม่มีการหย่าร้างและภรรยาของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี2004
ชีวิต ส่วนตัวของเขาเรียบง่ายและสมถะมากเขายังคงขับรถเก่าๆไปทำงานบ้านที่อยู่ก็ บ้านเก่าและเขาก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมในเมืองโอมาฮาเนบราสกาซึ่งเป็น บ้านที่เขาซื้อมาด้วยราคา31,500เหรียญเมื่อปีค.ศ.1958หรือตั้งแต่49ปีที่ แล้วอาหารที่กินประจำยังเป็นแมคโดนัลด์กับโค้กซึ่งเขากินวันละหลายๆกระป๋อง ประมาณ15กระป๋องต่อวันเนื่องจากเป็นสินค้าของกิจการที่เขาลงทุนอยู่มูลค่า หุ้นของเขาเป็นล้านล้านบาทแต่เขากลับจ่ายเงินเดือนให้กับตัวเองเพียงปี ละ1-2แสนดอลลาร์เท่านั้นเองและไม่เคยขายหุ้นของตัวเองเลยตลอดชีวิตเขาขับรถ เก่ายี่ห้อLincolnTownไปทำงานเองไม่มีเลขาหน้าห้องบนโต๊ะทำงานไม่เคยมี เครื่องคอมพิวเตอร์ดูราคาหุ้นชอบใช้ชีวิตในแบบเดิมๆและคิดถึงผู้ถือหุ้นเป็น อันดับแรกและยังชอบเล่นไพ่บริดจ์กับบิลล์เกตส์อยู่เสมอๆ
เงินที่เขา หาได้เขาเอามาใช้น้อยมากความสุขของเขาอยู่ที่การลงทุนเขาไม่ต้องการเอาเงิน ไปทำอย่างอื่นที่ไม่ให้ผลตอบแทนหรือให้ผลตอบแทนน้อยเขาคิดว่าเงินถ้าอยู่กับ เขาแล้วจะโตเร็วมากและมีประโยชน์กว่าเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้บริจาคเงิน เพื่อการกุศลมากนักแต่ในที่สุดเขาก็บริจาคเงินให้กับมูลนิธิบิล–มิรินดา เกตส์เพื่อนของเขาเขาถือเป็นแบบอย่างของคนที่รู้จักความพอดีในการใช้ชีวิต รู้และสำนึกได้ด้วยตัวเองว่าจุดความพอดีของตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนและเมื่อ ไหร่ที่จะปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง
ความร่ำรวยส่วนใหญ่ของเขานั้น สั่งสมในบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทเวย์ซึ่งมีผลกำไรหลากหลายนับจากธุรกิจการ ประกันภัยอสังหาริมทรัพย์พลังงานและการเช่าเครื่องบินและบริษัทเบอร์กไชร์ฮา ธาเวย์ของเขาไม่มีสินค้าอะไรเลยไม่มีการขายสินค้าไม่มีการผลิตการบริการใดๆ รายได้จำนวนมากมายมหาศาลทั้งหมดมาจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับฉายาว่า เป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลกเขาสามารถเพิ่มราคาหุ้นกองทุนBerkshireของ เขาถึง3600เท่าและเน้นย้ำเฉพาะการลงทุนแบบValueInvestorเท่านั้น
หุ้น ของเบอร์กไชร์นั้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์กและเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่ แปลกประหลาดนอกจากไม่มีการผลิตสินค้าและบริการใดๆเลยซื้อขายหุ้นอย่างเดียว ยังเป็นหุ้นที่ไม่เคยมีการจ่ายปันผลมาหลายสิบปีทั้งๆที่มีกำไรมหาศาลทุกปีทำ ให้บริษัทมีสินทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆราคาหุ้นของเบอร์กไชร์ทะลุหลักล้านบาทไป แล้วคนที่ถือหุ้นบริษัทเขาตั้งแต่วันแรกก็ยังถือมาจนถึงปัจจุบันพวกเขาเชื่อ ในตัวบัฟเฟตต์มากๆหุ้นบริษัทเขาจึงมีสภาพคล่องต่ำมากซึ่งเป็นผลดีกับกิจการ เนื่องจากจะไม่มีคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันมาป่วนราคาบริษัทของเขาจะเลือกลงทุน ในหุ้นในกิจการที่เยี่ยมยอดเพียงไม่กี่ตัวโดยซื้อเมื่อตอนราคาถูกและ ยุติธรรมแล้วเก็บไว้ให้นานที่สุดหรือเก็บไปตลอดชีวิตเลย
สำหรับพอร์ ทการลงทุนของเขาจะมีแต่กิจการที่ดีของโลกเช่นบริษัทโค้กยิลเลทดิสนีย์แลนด์ เป็นต้นหุ้นที่เขาจะซื้อจะต้องมีพื้นฐานกิจการที่ดีและเขาจะต้องรู้จักและ เข้าใจว่ากิจการสามารถสร้างรายได้มาได้อย่างไรเพราะฉะนั้นหุ้นกลุ่มไฮเทคจะ ไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลยแม้แต่ไมโครซอฟต์เพราะเขาบอกว่าถ้าเขาไม่รู้ว่า อีก5-10ปีข้างหน้าบริษัทนั้นจะเป็นอย่างไรเขาก็จะไม่ซื้อหุ้นบริษัทนั้นซึ่ง หุ้นไฮเทคจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมากจึงไม่อยู่ในข่ายลงทุน
สิ่ง ที่บัฟเฟตต์ยึดถือในการลงทุนนอกจากคุณค่าของกิจการแล้วคือผู้บริหารต้องมี ความซื่อสัตย์ยึดผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นหลักฉะนั้นการบริหารงาน ของบัฟเฟตต์จึงทำอย่างโปร่งใสและยึดถือประโยชน์ของทุกคนเป็นที่ตั้งเขาไม่ เคยเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นการบริจาคเงินของ บริษัท
หลักการเลือกลงทุนของวอร์เรนบัฟเฟตต์:
1.เป็นธุรกิจหรือ บริษัทที่ไม่ซับซ้อนกิจการประเภทง่ายๆไม่วุ่นวายนี้จะสามารถบริหารจัดการได้ อย่างง่ายๆไม่ต้องใช้เทคนิคบุคคลากรพิเศษมากมายนัก
2.เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมแข็งแกร่งเช่นมียี่ห้อหรือตราสินค้าที่แข็งแกร่งมีการบริการเป็นพิเศษที่หาจากที่อื่นไม่ได้
3.สามารถคาดเดาได้คือสามารถคาดเดาผลการดำเนินงานได้ค่อนข้างแน่นอนเนื่องจากการที่ไม่ซับซ้อนของธุรกิจนี่เอง
4.ผลตอบแทนจากส่วนของเงินลงทุนสูง(ROE)อย่างน้อย12%
5.มีกระแสเงินสดที่ดี
6.มีผู้บริหารที่ดีเห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญธุรกิจที่ดีมีธรรมชาติของธุรกิจที่ดี
จากการศึกษาวอร์เรนบัฟเฟตต์เขาให้ความสนใจลงทุนในธุรกิจ5กลุ่มด้วยกันคือ
1)ธุรกิจเครื่องดื่มเช่นโค้ก
2)กลุ่มการเงินที่เกี่ยวกับรายย่อยเช่นบริษัทอเมริกันเอ็กเพรส
3)กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
4)กลุ่มธนาคารพาณิชย์เช่นธนาคารของแคลิฟอร์เนีย
5)หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
กรณี หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์วอร์เรนบัฟเฟตเข้าลงทุนเมื่อ1974จำนวน11ล้าน เหรียญสหรัฐ30ปีผ่านไปได้ผลตอบแทน1.7พันล้านเหรียญสหรัฐและเป็นผู้ถือหุ้น ใหญ่จำนวน15%ที่ผ่านมาเขามีหนังสือออกมาสามเล่มด้วยกันคือ101เหตุผลที่คุณจะ เป็นเจ้าของกิจการเล่มที่2ชื่อบัฟเฟตต์ซีอีโอแต่ด้วยเนื้อหาที่ต้องมีการ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มขึ้นทำให้ต้องมีเล่มที่สามซึ่งใช้ชื่อ ว่า“WARRENBUFFETTWEALTH”หรือวอร์เรนบัฟเฟตผู้มั่งคั่งสำหรับหนังสือเล่ม ที่3นี้จะใช้ภาษาเขียนที่เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นมีการยกตัวอย่างประกอบซึ่ง เนื้อหาได้มาจากการศึกษาเกี่ยวกับนายวอร์เรนบัฟเฟตและบริษัทของเขาตลอดจนได้ มีการสอบถามจากผู้ใกล้ชิดของเขาและล่าสุดชื่อTheNewBuffetologyซึ่งมีชื่อ เป็นไทยว่าลงทุนอย่าง...วอร์เรนบัฟเฟตต์ซึ่งรายละเอียดในหนังสือนั้นที่ สำคัญคือTheWarrenBuffettWayที่เป็นเหมือนกลยุทธ์การลงทุนพื้นฐานสไตล์บัฟ เฟตต์
อย่างไรก็ตามข่าวคราวที่สร้างความโด่งดังให้แก่วอร์ เรนบัฟเฟตต์มากที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการที่เขายกทรัพย์สิน ถึง85เปอร์เซ็นต์หรือประมาณสามหมื่นเจ็ดพันล้านเหรียญให้แก่มูลนิธิบิลล์และ เมลินดาเกตส์ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยสองสามีภรรยาเกตส์เพื่อนเก่าแก่ของวอร์ เรนบัฟเฟตต์ยังผลให้มูลนิธินี้กลายเป็นมูลนิธิที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนับว่า เป็นการรวมตัวทางการเงินเพื่อทำการกุศลยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บิล เกตส์และเมอลินดาภริยาบอกว่ามูลนิธิหวังจะใช้ของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไปใช้ วิจัยหาวัคซีนสยบโรคเอดส์ร่วมกับอีก20โรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกปีละ ไม่รู้กี่ล้านซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มียารักษา
เงินจำนวนนี้ถือเป็นเงิน บริจาคที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกที่เคยมีมาเงินนี้วอร์เรนบัฟเฟตต์หามาเอง เกือบทั้งสิ้นตลอดชีวิตการลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกและได้รับการ ยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจตัวอย่างที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและไม่ฟุ้งเฟ้อเขาเชื่อ ว่าเงินที่เขาได้มานั้นเขาต้องการที่จะทำในสิ่งที่มีประโยชน์และทำให้เขา รู้สึกภูมิใจและเขายังคาดหวังว่าการตัดสินใจบริจาคทรัพย์สมบัติครั้งนี้จะ เป็นแบบอย่างแก่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายให้ทำบุญสร้างกุศลโดยการบริจาคให้ มูลนิธิต่างๆที่มีอยู่โดยไม่ต้องแข่งกันตั้งมูลนิธิขึ้นมาใหม่ส่วนการที่เขา บริจาคให้กับมูลนิธิของบิลเกตส์เพราะเชื่อมั่นในนโยบายช่วยเหลือคนด้อยโอกาส จริงๆ
บัฟเฟตต์พูดอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนที่โชคดีมากเขากล่าวไว้ ว่า“ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าควรจะตอบแทนสังคมและครอบครัวของผมก็เห็นด้วยกับผมคำ ถามก็คือว่าจะตอบแทนอย่างไร”และ“ผมไม่ใช่คนที่ปรารถนาในความมั่นคั่งอย่าง ราชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทางเลือกหนึ่งยังมีคนอีกจำนวน6,000ล้านคนยังจน กว่าที่เรามีอยู่มาก”
No comments:
Post a Comment